(ยาวหน่อย ..ช่วยกันอ่านด้วย)
อิทธิฤทธิ์พายุ “นารี” ทำให้ฝนถล่มอย่างหนักในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคตะวันออก
รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล น้ำท่วมถนนล้นตรอกซอกซอย
โดยสถานการณ์ยิ่งซ้ำภาวะอุทกภัยที่ยังวิกฤติในหลายจังหวัด
ตามรูปการณ์ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องนำคณะลงตรวจน้ำท่วม
พร้อมเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ประสบภัย ร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ
รีบบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้ชาวบ้านก่อน
และโดยจังหวะที่ล้อกันกับปรากฏการณ์พายุนารีถล่มอ่วม
สถานการณ์การเมืองรัฐบาลของผู้นำ “นารี”
ก็กำลังเผชิญมรสุมหลายลูกที่จ่ออยู่เบื้องหน้า
สารพัดปมที่จะก่อความยุ่งยากให้นายกฯยิ่งลักษณ์
ตามปรากฏการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มมวลชนเครือข่ายนักศึกษาและประชาชน
ปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ยึดถนนแยกอุรุพงษ์ ปักหลักประท้วงรัฐบาล
ในสถานการณ์ที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ยอมรับว่า ต้องเฝ้าระวังการชุมนุมอย่างใกล้ชิด
เพราะจำนวนของผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดปกติ
จากวันธรรมดาที่มีแค่หลักร้อยเพิ่มเป็นหลักพันคน โดยปัจจัยที่ตัวเลขเพิ่มขึ้น
อาจมาจากการบ่มเพาะชักจูง และการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ โดย สมช.กำลังสืบ
สภาพว่า ม็อบ คปท.จะมีขีดความสามารถในการเคลื่อนขบวนมาชุมนุมที่
ทำเนียบรัฐบาลอีกรอบได้หรือไม่
ในขณะที่ข้อมูลที่ตำรวจนครบาล สอดคล้องไปในทำนองเดียวกับการที่
ทีมงานของพรรคเพื่อไทยออกมาตั้งแง่สงสัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
ผู้ว่าฯ กทม.และทีมผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ช่วยอำนวยความสะดวก
ให้ม็อบ คปท.ทั้งรถสุขา รถน้ำ ไปจนถึงเครื่องปั่นไฟบนเวที
บริการกันเต็มที่จนน่าผิดสังเกต
ที่แน่ๆปรากฏการณ์ม็อบ คปท.ทำให้รัฐบาลอยู่ในอาการลังเล กล้าๆกลัวๆก่อนที่
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ จะเรียกประชุม ครม.ชุดเล็ก พิจารณาตัดสินใจต่ออายุ
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯที่ครบกำหนดในวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา
ลากยาวไปจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน เกือบๆปลายปี
ตามเหตุที่ประเมินท่าทีแกนนำม็อบจะมีการเคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุม
เข้ามาใกล้ทำเนียบรัฐบาลภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
สิ้นสุดลง
ธงของม็อบไม่มีทางเปลี่ยนแน่ ต้องประกบกันทุกนาที
หันไปอีกทางหนึ่ง รัฐบาลก็ยังต้องลุ้นคดีร้อนๆเสียวๆที่ค้างอยู่ในองค์กรอิสระ
โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่โหมกระแสตัวเลขขาดทุนทะลักไปถึง 4.2 แสนล้านบาท
โดยตัวละครระดับ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง
ยุครัฐบาล “ขิงแก่”ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ออกมาเล่นเอง
กระตุกกระแส ส่งลูกไปถึงคดีจำนำข้าวที่จ่ออยู่บนเขียงของคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ตามจังหวะที่นายวิชา มหาคุณ ป.ป.ช.ระบุว่า เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้มายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการไต่สวนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์
อดีต รมช.พาณิชย์ ในขณะนั้น
โดยพุ่งเป้าไปที่การประมูลข้าวรัฐบาลของบริษัท สยามเอติก้า ซึ่งเห็นว่า
ประเด็นดังกล่าวเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่นอกเหนือไปจากอนุกรรมการชุด
ของตนเองที่ดำเนินการไต่สวนอยู่ จึงเห็นควรมีการตั้งอนุกรรมการชุดใหม่
ขึ้นมาพิจารณาคำร้องของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
ที่แน่ๆนายวิชายังทิ้งทุ่นไว้ด้วยว่า การสอบทุจริตโครงการจำนำข้าว
มีความคืบหน้าไปมาก ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน
แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า พบสิ่งผิดปกติใดบ้างแล้ว
“เพราะจะไม่ตื่นเต้น”
ตามรูปการณ์ในประเด็นจำนำข้าวที่จ่อรอเชือดอยู่บนเขียงป.ป.ช.
รัฐบาลต้องลุ้นจะลามถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ หรือไม่แค่นั้น
เดิมพันจุดเปลี่ยนเกมอำนาจ คาดว่าจะสรุปได้ในเดือนพฤศจิกายน
อีกคิวหนึ่งก็ต้องรอวัดดวงกับปมร่าง พ.ร.บ.แก้รัฐธรรมนูญที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ได้ดำเนินกระบวนการยื่นทูลเกล้าฯไปแล้ว
ล่าสุดที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์
บุญถนอม ส.ว.สรรหา ที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมในคำร้องกรณีที่มีสมาชิกรัฐสภาเสียบบัตร
แสดงตนแทนกันในที่ประชุมรัฐสภา เป็นหลักฐานคลิปวีดิโอบันทึกภาพระหว่างการลงมติ
รวมเข้าไปในสำนวนคำร้องเพื่อประกอบการพิจารณา
หลังก่อนหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้รับคำร้อง 2
คำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 68
โดยเป็นคำร้องของนายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง กับคณะ กรณีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์
ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา
กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ
ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
และคำร้องของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
และคณะ กรณีนายสมศักดิ์ และพวกรวม 312 คน กระทำการเพื่อให้ได้มา
ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง
ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่
จากกรณีที่ฝ่ายค้านมีคลิปวีดิโอ ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรแทนกัน ระหว่างการ
ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.ในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10
กันยายน และมาตรา 10 วันที่ 11 กันยายน จนทำให้ผ่านวาระ 2 ไปได้
ตามเหลี่ยมประชาธิปัตย์ กับ ส.ว.สรรหาเครือข่ายฝ่ายต้าน
ช่วยกันเหวี่ยงแหดักซ้ายดักขวา
ว่ากันว่า มาตรา 68 นี่แหละคือ “หมัดน็อก”
ตามคิวที่ล็อกกันไว้ กระบวนการพิจารณาปมแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา
ส.ว.ของศาลรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะไปฟันธงกันเดือนพฤศจิกายน
และแน่นอน โดยปฏิทินการเมืองที่จะปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 30 พฤศจิกายน
ตามเกมฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ประกาศล่วงหน้าแล้ว ยังไงก็ต้องลุยจัดหนัก “ยิ่งลักษณ์”
ม็อบไล่รัฐบาล ปมร้อนๆในองค์กรอิสระ จังหวะอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ไหลมาออกันในเดือนพฤศจิกายน
และก็เป็นอะไรที่ยิ่ง “ขึงพืด” สถานการณ์ให้ตึงเครียดไปกันใหญ่
ล่าสุดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ระบุ
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับแจ้ง
เป็นการภายในจากนายทะเบียนของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ว่า
ศาลโลกได้กำหนดอ่านคำพิพากษาคดีที่ประเทศกัมพูชายื่นขอตีความ
คำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้
เป็นการร่นระยะเวลาเข้ามาจากที่คาดว่าจะตัดสินในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า
แน่นอน คำตัดสินของศาลโลกอยู่นอกเหนือวิสัยการควบคุม ยากต่อการคาดเดา
สถานการณ์ของฝ่ายไทยเราก็ทำได้แค่ที่นายณัฏฐวุฒิ โพธิ-สาโร
รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประเมินแนวทางคำพิพากษาไว้ 4 แนวทางคือ
1. ศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี หรือมีอำนาจแต่ไม่มีเหตุที่จะต้องตีความ
ก็ต้องไปยังสถานะเดิมก่อนการยื่นฟ้อง
2. อาจตัดสินว่า ขอบเขตเป็นไปตามเส้นเขตแดนบนแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งเป็นไป
ตามคำฟ้องของฝ่ายกัมพูชา
3. อาจตัดสินเป็นไปตามคำร้องของฝ่ายไทย ที่ว่าบริเวณใกล้เคียงปราสาทฯ
เป็นไปตามเส้นที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2505 หรือ
4. ศาลโลกอาจพิจารณาออกมาเป็นกลางๆ
ว่ากันตามรูปการณ์แนวโน้มบวกสุดสำหรับประเทศไทยก็คือศาลไม่ตีความ
ต้องกลับไปยังสถานะเดิมก่อนการยื่นฟ้อง
ออกมุกนี้ก็ไม่มีอะไร ใช้พื้นที่ร่วมกันต่อไป
แต่ถ้าผลออกมาในทางลบ ศาลโลกตัดสินเข้าทางกัมพูชา นั่นหมายความว่า
อาณาเขตปราสาทพระวิหารจะตกไปเป็นของเขมรทั้งหมด
ประเทศไทยต้องเสียดินแดนในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ผู้เป็นน้องสาวของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
เป็นผู้นำรัฐบาล
งานนี้พี่ชายกับน้องสาวเหนื่อยแน่
เพราะมันเข้าทางพวกจ้อง “ฉกฉวย” เอาไปสร้างความเข้าใจผิดๆถูกๆในสังคม
โดยเฉพาะกับปม “พระยาละแวก” ตัวเป็นไทยใจเขมร
ตามรูปการณ์ที่อดีตนายกฯทักษิณใช้ประเทศกัมพูชา เป็นฐานเคลื่อนไหว
ทางการเมืองในการเปิดเกมแลกหมัดกับฝ่ายโค่นอำนาจในเมืองไทยมาตลอด
และโดยสายสัมพันธ์ยังเชื่อมโยงมาถึงการที่ลูกหลานตระกูลชินวัตร
ก็ไปแต่งงานกับทายาทนักการเมืองใหญ่ในปีกของนายกฯฮุน เซน
เป็นดองเป็นญาติกันข้ามชาติ
และนั่นก็ทำให้ง่ายต่อการต่อจิ๊กซอว์ โยงเข้าหาปมผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ
อย่างล่าสุดเหตุเกิดในที่ประชุมสภา ที่ฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.สรรหา
เครือข่ายฝ่ายต้าน “ทักษิณ” ร่วมกันแฉ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190
เป็นการปูทางเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจข้ามชาติของ “นายใหญ่”
จากการลงทุนเมกะโปรเจกต์ด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา
ร้อนถึงทีมงาน “สายตรงนายใหญ่” อย่างนายนพดล ปัทมะ
ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
รมว.พลังงาน ต้องออกปฏิเสธแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจ
พลังงานใดๆในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา การแก้ไขมาตรา 190
ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น
รีบเคลียร์กันทันควัน เพราะรู้กันอยู่ว่า ปมนี้อ่อนไหวสำหรับ “ทักษิณ”
จริงเท็จไม่แน่ใจ แต่คนเชื่อไปแล้วเกินครึ่ง
มันจึงเป็นอะไรที่ง่ายต่อการโหมกระแส แหย่ฟืนสุมไฟ
และแนวโน้มก็อย่างที่คาดเดากันได้ จากจุดเริ่มของม็อบไล่รัฐบาล
ที่มีวิวัฒนาการมาจากม็อบทวงคืนปราสาทพระวิหาร
ที่เคลื่อนม็อบไปปักหลักกดดันอยู่ที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ
ตีกันหัวร้างข้างแตกมาแล้วหลายรอบ ยังจุดไม่ติด เพราะฟืนเปียก
แต่ถ้าผลคำตัดสินของศาลโลกออกมาเป็นผลลบกับฝ่ายไทย
กระตุกอารมณ์หมั่นไส้เครือข่าย “ทักษิณ” เข้าทางม็อบล้มรัฐบาล
สถานการณ์ร้อนๆหนาวๆไปสุมกันอยู่ในเดือนพฤศจิกายน
ลุ้น “ซุปเปอร์พายุ” กระหน่ำซ้ำ “ยิ่งลักษณ์”.
http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/377243
ไทยรัฐ ...วันอาทิตย์ ต้องคิดลบ กับรัฐบาล
ม็อบอุรุพงษ์ จะล้มรัฐบาลได้ไหม ...ม็อบ นปช.หลายหมื่น เมื่อวานมีสมาชิก
บอกชุมนุม 3 เดือน คนกรุงเดือดร้อนแสนสาหัส เสียชีวิตไป 98 ศพ ยังล้ม
รัฐบาลไม่ได้ .... และเมื่อถึงคราวเลือกตั้ง คนกรุงเทพ ก็ไม่เลือกข้าง ม็อบ
วันนี้ หากล้มรัฐบาลได้ คนกรุงเทพ จะเลือกข้างไหน
คงต้องพิสูจน์ใจ คนกรุงเทพ กันในครั้งนี้ ?
ซุปเปอร์พายุ กระหน่ำรัฐบาล สารพัดเงื่อนไขในจังหวะศาลโลก "ชี้ขาด" พระวิหาร วิเคราะห์การเมือง ไทยรัฐออนไลน์
อิทธิฤทธิ์พายุ “นารี” ทำให้ฝนถล่มอย่างหนักในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคตะวันออก
รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล น้ำท่วมถนนล้นตรอกซอกซอย
โดยสถานการณ์ยิ่งซ้ำภาวะอุทกภัยที่ยังวิกฤติในหลายจังหวัด
ตามรูปการณ์ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องนำคณะลงตรวจน้ำท่วม
พร้อมเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ประสบภัย ร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ
รีบบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้ชาวบ้านก่อน
และโดยจังหวะที่ล้อกันกับปรากฏการณ์พายุนารีถล่มอ่วม
สถานการณ์การเมืองรัฐบาลของผู้นำ “นารี”
ก็กำลังเผชิญมรสุมหลายลูกที่จ่ออยู่เบื้องหน้า
สารพัดปมที่จะก่อความยุ่งยากให้นายกฯยิ่งลักษณ์
ตามปรากฏการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มมวลชนเครือข่ายนักศึกษาและประชาชน
ปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ยึดถนนแยกอุรุพงษ์ ปักหลักประท้วงรัฐบาล
ในสถานการณ์ที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ยอมรับว่า ต้องเฝ้าระวังการชุมนุมอย่างใกล้ชิด
เพราะจำนวนของผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดปกติ
จากวันธรรมดาที่มีแค่หลักร้อยเพิ่มเป็นหลักพันคน โดยปัจจัยที่ตัวเลขเพิ่มขึ้น
อาจมาจากการบ่มเพาะชักจูง และการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ โดย สมช.กำลังสืบ
สภาพว่า ม็อบ คปท.จะมีขีดความสามารถในการเคลื่อนขบวนมาชุมนุมที่
ทำเนียบรัฐบาลอีกรอบได้หรือไม่
ในขณะที่ข้อมูลที่ตำรวจนครบาล สอดคล้องไปในทำนองเดียวกับการที่
ทีมงานของพรรคเพื่อไทยออกมาตั้งแง่สงสัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
ผู้ว่าฯ กทม.และทีมผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ช่วยอำนวยความสะดวก
ให้ม็อบ คปท.ทั้งรถสุขา รถน้ำ ไปจนถึงเครื่องปั่นไฟบนเวที
บริการกันเต็มที่จนน่าผิดสังเกต
ที่แน่ๆปรากฏการณ์ม็อบ คปท.ทำให้รัฐบาลอยู่ในอาการลังเล กล้าๆกลัวๆก่อนที่
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ จะเรียกประชุม ครม.ชุดเล็ก พิจารณาตัดสินใจต่ออายุ
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯที่ครบกำหนดในวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา
ลากยาวไปจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน เกือบๆปลายปี
ตามเหตุที่ประเมินท่าทีแกนนำม็อบจะมีการเคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุม
เข้ามาใกล้ทำเนียบรัฐบาลภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
สิ้นสุดลง
ธงของม็อบไม่มีทางเปลี่ยนแน่ ต้องประกบกันทุกนาที
หันไปอีกทางหนึ่ง รัฐบาลก็ยังต้องลุ้นคดีร้อนๆเสียวๆที่ค้างอยู่ในองค์กรอิสระ
โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่โหมกระแสตัวเลขขาดทุนทะลักไปถึง 4.2 แสนล้านบาท
โดยตัวละครระดับ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง
ยุครัฐบาล “ขิงแก่”ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ออกมาเล่นเอง
กระตุกกระแส ส่งลูกไปถึงคดีจำนำข้าวที่จ่ออยู่บนเขียงของคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ตามจังหวะที่นายวิชา มหาคุณ ป.ป.ช.ระบุว่า เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้มายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการไต่สวนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์
อดีต รมช.พาณิชย์ ในขณะนั้น
โดยพุ่งเป้าไปที่การประมูลข้าวรัฐบาลของบริษัท สยามเอติก้า ซึ่งเห็นว่า
ประเด็นดังกล่าวเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่นอกเหนือไปจากอนุกรรมการชุด
ของตนเองที่ดำเนินการไต่สวนอยู่ จึงเห็นควรมีการตั้งอนุกรรมการชุดใหม่
ขึ้นมาพิจารณาคำร้องของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
ที่แน่ๆนายวิชายังทิ้งทุ่นไว้ด้วยว่า การสอบทุจริตโครงการจำนำข้าว
มีความคืบหน้าไปมาก ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน
แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า พบสิ่งผิดปกติใดบ้างแล้ว
“เพราะจะไม่ตื่นเต้น”
ตามรูปการณ์ในประเด็นจำนำข้าวที่จ่อรอเชือดอยู่บนเขียงป.ป.ช.
รัฐบาลต้องลุ้นจะลามถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ หรือไม่แค่นั้น
เดิมพันจุดเปลี่ยนเกมอำนาจ คาดว่าจะสรุปได้ในเดือนพฤศจิกายน
อีกคิวหนึ่งก็ต้องรอวัดดวงกับปมร่าง พ.ร.บ.แก้รัฐธรรมนูญที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ได้ดำเนินกระบวนการยื่นทูลเกล้าฯไปแล้ว
ล่าสุดที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์
บุญถนอม ส.ว.สรรหา ที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมในคำร้องกรณีที่มีสมาชิกรัฐสภาเสียบบัตร
แสดงตนแทนกันในที่ประชุมรัฐสภา เป็นหลักฐานคลิปวีดิโอบันทึกภาพระหว่างการลงมติ
รวมเข้าไปในสำนวนคำร้องเพื่อประกอบการพิจารณา
หลังก่อนหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้รับคำร้อง 2
คำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 68
โดยเป็นคำร้องของนายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง กับคณะ กรณีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์
ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา
กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ
ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
และคำร้องของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
และคณะ กรณีนายสมศักดิ์ และพวกรวม 312 คน กระทำการเพื่อให้ได้มา
ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง
ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่
จากกรณีที่ฝ่ายค้านมีคลิปวีดิโอ ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรแทนกัน ระหว่างการ
ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.ในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10
กันยายน และมาตรา 10 วันที่ 11 กันยายน จนทำให้ผ่านวาระ 2 ไปได้
ตามเหลี่ยมประชาธิปัตย์ กับ ส.ว.สรรหาเครือข่ายฝ่ายต้าน
ช่วยกันเหวี่ยงแหดักซ้ายดักขวา
ว่ากันว่า มาตรา 68 นี่แหละคือ “หมัดน็อก”
ตามคิวที่ล็อกกันไว้ กระบวนการพิจารณาปมแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา
ส.ว.ของศาลรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะไปฟันธงกันเดือนพฤศจิกายน
และแน่นอน โดยปฏิทินการเมืองที่จะปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 30 พฤศจิกายน
ตามเกมฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ประกาศล่วงหน้าแล้ว ยังไงก็ต้องลุยจัดหนัก “ยิ่งลักษณ์”
ม็อบไล่รัฐบาล ปมร้อนๆในองค์กรอิสระ จังหวะอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ไหลมาออกันในเดือนพฤศจิกายน
และก็เป็นอะไรที่ยิ่ง “ขึงพืด” สถานการณ์ให้ตึงเครียดไปกันใหญ่
ล่าสุดนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ระบุ
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับแจ้ง
เป็นการภายในจากนายทะเบียนของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ว่า
ศาลโลกได้กำหนดอ่านคำพิพากษาคดีที่ประเทศกัมพูชายื่นขอตีความ
คำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้
เป็นการร่นระยะเวลาเข้ามาจากที่คาดว่าจะตัดสินในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า
แน่นอน คำตัดสินของศาลโลกอยู่นอกเหนือวิสัยการควบคุม ยากต่อการคาดเดา
สถานการณ์ของฝ่ายไทยเราก็ทำได้แค่ที่นายณัฏฐวุฒิ โพธิ-สาโร
รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประเมินแนวทางคำพิพากษาไว้ 4 แนวทางคือ
1. ศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี หรือมีอำนาจแต่ไม่มีเหตุที่จะต้องตีความ
ก็ต้องไปยังสถานะเดิมก่อนการยื่นฟ้อง
2. อาจตัดสินว่า ขอบเขตเป็นไปตามเส้นเขตแดนบนแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งเป็นไป
ตามคำฟ้องของฝ่ายกัมพูชา
3. อาจตัดสินเป็นไปตามคำร้องของฝ่ายไทย ที่ว่าบริเวณใกล้เคียงปราสาทฯ
เป็นไปตามเส้นที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2505 หรือ
4. ศาลโลกอาจพิจารณาออกมาเป็นกลางๆ
ว่ากันตามรูปการณ์แนวโน้มบวกสุดสำหรับประเทศไทยก็คือศาลไม่ตีความ
ต้องกลับไปยังสถานะเดิมก่อนการยื่นฟ้อง
ออกมุกนี้ก็ไม่มีอะไร ใช้พื้นที่ร่วมกันต่อไป
แต่ถ้าผลออกมาในทางลบ ศาลโลกตัดสินเข้าทางกัมพูชา นั่นหมายความว่า
อาณาเขตปราสาทพระวิหารจะตกไปเป็นของเขมรทั้งหมด
ประเทศไทยต้องเสียดินแดนในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ผู้เป็นน้องสาวของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
เป็นผู้นำรัฐบาล
งานนี้พี่ชายกับน้องสาวเหนื่อยแน่
เพราะมันเข้าทางพวกจ้อง “ฉกฉวย” เอาไปสร้างความเข้าใจผิดๆถูกๆในสังคม
โดยเฉพาะกับปม “พระยาละแวก” ตัวเป็นไทยใจเขมร
ตามรูปการณ์ที่อดีตนายกฯทักษิณใช้ประเทศกัมพูชา เป็นฐานเคลื่อนไหว
ทางการเมืองในการเปิดเกมแลกหมัดกับฝ่ายโค่นอำนาจในเมืองไทยมาตลอด
และโดยสายสัมพันธ์ยังเชื่อมโยงมาถึงการที่ลูกหลานตระกูลชินวัตร
ก็ไปแต่งงานกับทายาทนักการเมืองใหญ่ในปีกของนายกฯฮุน เซน
เป็นดองเป็นญาติกันข้ามชาติ
และนั่นก็ทำให้ง่ายต่อการต่อจิ๊กซอว์ โยงเข้าหาปมผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ
อย่างล่าสุดเหตุเกิดในที่ประชุมสภา ที่ฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.สรรหา
เครือข่ายฝ่ายต้าน “ทักษิณ” ร่วมกันแฉ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190
เป็นการปูทางเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจข้ามชาติของ “นายใหญ่”
จากการลงทุนเมกะโปรเจกต์ด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา
ร้อนถึงทีมงาน “สายตรงนายใหญ่” อย่างนายนพดล ปัทมะ
ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
รมว.พลังงาน ต้องออกปฏิเสธแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจ
พลังงานใดๆในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา การแก้ไขมาตรา 190
ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น
รีบเคลียร์กันทันควัน เพราะรู้กันอยู่ว่า ปมนี้อ่อนไหวสำหรับ “ทักษิณ”
จริงเท็จไม่แน่ใจ แต่คนเชื่อไปแล้วเกินครึ่ง
มันจึงเป็นอะไรที่ง่ายต่อการโหมกระแส แหย่ฟืนสุมไฟ
และแนวโน้มก็อย่างที่คาดเดากันได้ จากจุดเริ่มของม็อบไล่รัฐบาล
ที่มีวิวัฒนาการมาจากม็อบทวงคืนปราสาทพระวิหาร
ที่เคลื่อนม็อบไปปักหลักกดดันอยู่ที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ
ตีกันหัวร้างข้างแตกมาแล้วหลายรอบ ยังจุดไม่ติด เพราะฟืนเปียก
แต่ถ้าผลคำตัดสินของศาลโลกออกมาเป็นผลลบกับฝ่ายไทย
กระตุกอารมณ์หมั่นไส้เครือข่าย “ทักษิณ” เข้าทางม็อบล้มรัฐบาล
สถานการณ์ร้อนๆหนาวๆไปสุมกันอยู่ในเดือนพฤศจิกายน
ลุ้น “ซุปเปอร์พายุ” กระหน่ำซ้ำ “ยิ่งลักษณ์”.
http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/377243
ไทยรัฐ ...วันอาทิตย์ ต้องคิดลบ กับรัฐบาล
ม็อบอุรุพงษ์ จะล้มรัฐบาลได้ไหม ...ม็อบ นปช.หลายหมื่น เมื่อวานมีสมาชิก
บอกชุมนุม 3 เดือน คนกรุงเดือดร้อนแสนสาหัส เสียชีวิตไป 98 ศพ ยังล้ม
รัฐบาลไม่ได้ .... และเมื่อถึงคราวเลือกตั้ง คนกรุงเทพ ก็ไม่เลือกข้าง ม็อบ
วันนี้ หากล้มรัฐบาลได้ คนกรุงเทพ จะเลือกข้างไหน
คงต้องพิสูจน์ใจ คนกรุงเทพ กันในครั้งนี้ ?